วีรกรรมมาโนชและมานิช ขณะญี่ปุ่นบุกปัตตานี
ย้อนไปในวันเริ่มต้นสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นได้ส่งฝูงบินเข้าโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ของสหรัฐอเมริกาแบบสายฟ้าแลบ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ตามเวลาท้องถิ่น จากนั้นอีกไม่กี่ชั่วโมงในเช้ามืดวันที่ 8 ธันวาคม ตามเวลาในประเทศไทยกองทัพญี่ปุ่นได้บุกเข้าไทยพร้อมกัน โดยทางบกบุกเข้าที่อรัญประเทศและทางทะเลเข้าที่จังหวัด สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี
สำหรับเหตุการณ์เช้าวันนั้น ในจังหวัดปัตตานีนายอนันต์ คณานุรักษ์ และนายอนันต์ วัฒนานิกร ได้นำมาเขียนเป็นบทความไว้ในภายหลัง โดยระบุว่าทหารญี่ปุ่นบุกเข้าทั้งสองฝั่งของแม่น้ำปัตตานี ทางฝั่งตะวันตกมีการปะทะกันก่อนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งฝ่ายญี่ปุ่นและไทยฝ่ายละหลายสิบนาย สำหรับฝั่งตะวันออกทหารญี่ปุ่นบุกมาตามถนนนาเกลือ โดยมีชาวบ้านและตำรวจช่วยกันต้านทานไว้
เหตุการณ์ครั้งนั้นมีบางช่วงบางตอนที่พี่น้องตระกูล ‘วัฒนานิกร’ ทั้ง มาโนช(เกี่ยนซิ่ว) ที่ขณะนั้นเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงน้ำแข็ง และ มานิช(เกี่ยนหงวน) น้องชายซึ่งเป็นนายช่างยนต์ ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง นายอนันต์ คณานุรักษ์ กล่าวถึงเหตุการณ์ในเช้าวันที่ 8 ธันวาคมไว้ดังนี้
“รุ่งเช้าของวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ในช่วงเวลาประมาณ ๔.๐๐ น. ได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางด้านที่ตั้งของจังหวัด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำปัตตานี มีทั้งเสียงปืนเล็ก ปืนกล ปืนใหญ่เบา ข้าพเจ้าเข้าใจว่า คงจะเป็นการซ้อมรบของทหารบ่อทอง ร. พัน ๔๒ แต่แล้วมีคนมาร้องเรียกที่หน้าประตูบ้านบอกว่า ญี่ปุ่นมาแล้ว....ต่อมาก็เห็นนายมานิตย์ (เค่งฮ่วน) วัฒนานิกร เดินถือปืนมาที่หน้าบ้าน ข้าพเจ้าก็แนะนำให้เขารีบไปสมทบที่กองตำรวจ” [i]
จากนั้น นายมานิช จึงวิ่งต่อไปยังกองกำกับการตำรวจประจำจังหวัด ซึ่งมีนาวาเอกหลวงสุนาวินวิวัฒน์ข้าหลวง เป็นผู้อำนวยการ ที่นั่นนอกจากนายมานิช ซึ่งเพื่อนๆมักเรียกว่า ‘หมอ’ (ไม่ใช่หมอรักษาคนไข้! แต่เป็นหมอรักษาเครื่องยนต์ เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องจักร เครื่องยนต์ ที่หาตัวจับยาก) ยังมีนายบุญฮก มุ่งแสง นายจ่าย และนายเกษม ทรัพย์เกษม ผู้มีเลือดไทยภาคกลางคนเดียวในกลุ่ม รวมถึงตำรวจ ข้าราชการ และยุวชนทหารกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวตั้งใจสู้รบป้องกันเมืองปัตตานี
ขณะนั้นทหารญี่ปุ่นได้ขึ้นฝั่งตะวันออกมาตามถนนนาเกลือในปัจจุบัน เพื่อหวังโอบล้อมตัวเมืองปัตตานี ในสมัยนั้นบริเวณนี้ยังคงเป็นทุ่งนาและสวนมะพร้าว ไม่มีถนนหนทางใดๆมีเพียงโรงฆ่าสัตว์หลังหนึ่ง ตรงข้ามโรงฆ่าสัตว์เป็นสถานที่ใช้ประหารชีวิตนักโทษ์ (ซึ่งต่อมากลายเป็นวัดนิกรชนาราม) จากบริเวณลานประหาร มีถนนมุ่งตรงไปหน้าศาลเจ้าเล่งจูเกียง หรือศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
บริเวณหลังศาลเจ้านี้เอง ที่อาเนาะปัตตานีกลุ่มหนึ่งรวมทั้งนายมานิช นายเกษม นายจ่าย และนายบุญฮก ได้ยึดเป็นสมรภูมิสู้กับกองทหารญี่ปุ่น โดยรับอาวุธและกระสุนจากกองอำนวยการ ซึ่งได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม จากร้านขายปืนในตัวจังหวัดปัตตานี นายอนันต์ วัฒนานิกรได้เขียนบรรยายเหตุการณ์ในช่วงนั้นจากคำบอกเล่าของ นายเกษม ทรัพย์เกษมไว้ดังนี้